เมนู

10. อุตติยเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระอุตติยเถระ


[167] ได้ยินว่า พระอุตติยเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เมื่ออาพาธบังเกิดขึ้นแก่เรา สติก็เกิดขึ้นแก่เราว่า
อาพาธเกิดขึ้นแก่เราแล้ว เวลานี้ เป็นเวลาที่เราไม่ควร
ประมาท.

จบวรรคที่ 3

อรรถกถาอุตติยเถรคาถา


คาถาของท่านพระอุตติยเถระเริ่มต้นว่า อาพาเธ เม สมุปฺปนฺเน.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า ท่านเป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ
สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ไว้ในภพนั้น ๆ เป็นอันมาก เกิดเป็น
จระเข้มีรูปร่างใหญ่โต ณ แม่น้ำจันทภาคา ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
พระนามว่า สิทธัตถะ ในกัปที่ 94 นับแต่ภัทรกัปนี้ถอยหลังไป.
มันเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จเข้าไปสู่ฝั่งแม่น้ำ เพื่อจะข้ามฟาก
มีจิตเลื่อมใส ประสงค์จะนำเสด็จข้ามฟาก จึงนอนในที่ใกล้ฝั่งน้ำ พระผู้มี-
พระภาคเจ้า ประทับยืนบนหลัง เพื่อจะทรงอนุเคราะห์มัน. มันร่าเริงชื่นชม
โสมนัส ด้วยกำลังแห่งปีติ ทำให้มีอุตสาหะเป็นทวีคูณ ว่ายตัดกระแสน้ำ
นำพระผู้มีพระภาคเจ้า ไปสู่ฝั่งโน้น ด้วยกำลังอันรวดเร็ว. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงตรวจดูความเลื่อมใสแห่งจิตของเขาแล้ว ทรงพยากรณ์ว่า จระเข้นี้
จุติจากภพนี้แล้ว ไปบังเกิดในเทวโลก จำเดิมแต่นั้น ก็ท่องเที่ยวไปในสุคติภพ
อย่างเดียว จักบรรลุอมตธรรม ในกัปที่ 94 แต่ภัทรกัปนี้ ดังนี้แล้ว เสด็จ
หลีกไป. เขาวนไปวนมาอยู่แต่ในสุคติภพเท่านั้น ด้วยอาการอย่างนั้น เกิดเป็น

บุตรของพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง ในพระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้
ได้มีนามว่า อุตติยะ.
เขาเจริญวัยแล้ว คิดว่า เราจักแสวงหาอมตธรรม จึงบวชเป็น
ปริพาชก เที่ยวไป วันหนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ฟังธรรมแล้ว
ถึงแม้จะบวชในพระศาสนา ก็ไม่อาจจะยังคุณวิเศษให้เกิดขึ้นได้ เห็นภิกษุ
เหล่าอื่น ยังคุณวิเศษให้เกิดแล้วพยากรณ์พระอรหัตผล จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา
ทูลขอโอวาท โดยสังเขปเท่านั้น.
แม้พระบรมศาสดา ก็ได้ทรงประทานโอวาทแก่ท่าน โดยย่อ ๆ เท่านั้น
มีอาทิว่า ดูก่อนอุตติยะ เพราะฉะนั้น เธอในธรรมวินัยนี้ จงชำระศีลให้บริสุทธิ์
เป็นเบื้องต้นทีเดียว. ท่านตั้งอยู่ในโอวาทของพระศาสดาแล้ว ปรารภวิปัสสนา.
อาพาธเกิดแก่ท่านผู้เริ่มวิปัสสนาแล้ว ก็เมื่ออาพาธเกิดขึ้นแล้ว ท่านเกิดความ
สังเวช เริ่มตั้งความเพียร ทำกรรมในวิปัสสนา ขวนขวายวิปัสสนา แล้วบรรลุ
พระอรหัต. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เวลานั้นเราเป็นจระเข้อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำจันทภาคา
เราขวนขวายหาเหยื่อของตน ได้ไปยังท่าน้ำ สมัยนั้น
พระสยัมภูผู้อรรคบุคคล พระนามว่า สิทธัตถะ พระ
องค์ประสงค์จะเสด็จข้ามแม่น้ำ จึงเสด็จเข้ามาสู่ท่าน้ำ
ก็เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาถึง แม้เราก็มาถึงที่
ท่าน้ำนั้น เราได้เข้าไปใกล้พระสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้
กราบทูลดังนี้ว่า ขอเชิญเสด็จขึ้น (หลังข้าพระองค์)
เถิดพระมหาวีรเจ้า ข้าพระองค์จักส่งพระองค์ให้ข้าม
ไป ขอพระองค์ทรงอนุเคราะห์ วิสัยอันเป็นส่วนของ
บิดาของข้าพระองค์เถิด พระมหามุนี ทรงสดับคำทูล

เชิญของเราแล้ว เสด็จขึ้น (หลัง) เราร่าเริง มีจิตยินดี
ได้ข้ามส่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นนายกของโลกที่
ฝั่งแม่น้ำโน้น พระผู้มีพระภาคเจ้า สิทธัตถะ นายก
ของโลก ทรงยังเราให้พอใจ ณ ที่นั้นว่า ท่านจะได้
บรรลุอมตธรรม เราเคลื่อนจากกายนั้นแล้ว ได้ไปสู่
เทวโลก แวดล้อมไปด้วย นางอัปสร เสวยสุขอันเป็น
ทิพย์อยู่ เราได้เป็นจอมเทวดา เสวยเทวรัชสมบัติอยู่
7 ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้เป็นใหญ่ในแผ่น
ดิน 3 ครั้ง เราขวนขวายในวิเวก มีปัญญาและสำรวม
ดีแล้ว ทรงกายอันเป็นที่สุดอยู่ ในศาสนาของพระ-
สัมมาสัมพุทธเจ้า ในกัปที่ 94 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้
ส่งพระนราสภให้ข้ามไป ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จัก
ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการส่งพระนราสภให้ข้ามไป
คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา 4 วิโมกข์ 8 และ
อภิญญา 6 เราทำให้แจ้งชัดแล้ว กิเลสทั้งหลายเรา
เผาหมดแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เราทำ
สำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล
โดยมุขคือการประกาศอาการที่บริบูรณ์ ด้วยสัมมาปฏิบัติของตน จึงได้ภาษิต
คาถาว่า
เมื่ออาพาธบังเกิดแก่เรา สติก็เกิดขึ้นแก่เราว่า
อาพาธเกิดขึ้นแก่เราแล้ว เวลานี้เป็นเวลาที่เราไม่ควร
ประมาท ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาพาเธ สมุปฺปนฺเน ความว่า เมื่อ
โรคอันเป็นเหตุแห่งความกำเริบของธาตุ อันมีส่วนที่ไม่เสมอกัน อันได้นามว่า
อาพาธ เพราะยังสรีระให้ถูกเบียดเบียนยิ่ง เกิดแล้วแก่เรา.
บทว่า สติ เม อุปปชฺชถ ความว่า อาพาธเกิดแล้วแก่เราแล
ข้อที่อาพาธพึงกำเริบขึ้นนี้ มีทางเป็นไปได้ เอาเถิดเราจะปรารภความเพียร
ตราบเท่าที่อาพาธนี้ยังไม่กำเริบ เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ได้ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่
ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อการทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้กระทำให้แจ้ง ด้วยประการ
ฉะนี้ สติอันเป็นที่ตั้งแห่งการปรารภความเพียร จึงเกิดขึ้นแก่เรา ผู้อัน
ทุกขเวทนาเบียดเบียนอยู่ ด้วยสามารถแห่งอาพาธนั้นแหละ ด้วยเหตุนั้น
พระเถระจึงกล่าวว่า อาพาธเกิดขึ้นแล้วแก่เรา เวลานี้เป็นเวลาที่เราไม่ควร
ประมาท ดังนี้. ก็พระเถระนี้ การทำสติอันบังเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ ให้เป็น
ดังขอสับแล้วบรรลุพระอรหัต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาอุตติยเถรคาถา
จบวรรควรรณนาที่ 3 ในอรรถกถาเถรคาถา
ชื่อว่า ปรมัตถทีปนี

ในวรรคนี้รวมพระเถระได้ 10 รูป คือ


1. พระนิโครธเถระ 2. พระจิตตกเถระ 3. พระโคสาลเถระ
4. พระสุคันธเถระ 5. พระนันทิยเถระ 6. พระอภัยเถระ 7. พระโลม-
สกังคิยเถระ 8. พระชัมพุคามิกบุตรเถระ 9. พระมหาริตเถระ 10. พระ-
อุตติยเถระ และอรรถกถา.